ไขมันพอกตับเป็นโรคที่สามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่มีอาการที่ชัดเจนในระยะแรก แต่เมื่อไขมันสะสมในตับมากขึ้น อาจทำให้เกิดอาการต่อไปนี้:
- อาการทางเดินทางอาหาร: อาจมีอาการท้องอืด แน่นหน้าท้อง คลื่นไส้ หรืออาการท้องผูกหรือท้องเสีย
- อาการทางระบบทางเดินน้ำดี: อาจมีอาการปัสสาวะสีเหลืองอ่อน ปัสสาวะเป็นสีน้ำตาล หรือมีกลิ่นเหม็น
- อาการเหนื่อยง่าย: รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีแรง หรือมีอาการเหนื่อยโดยไม่เหตุผลที่ชัดเจน
การรักษาไขมันพอกตับทำได้โดยผ่านการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทางสุขภาพ และการรับประทานอาหารที่เหมาะสม ดังนี้:
การควบคุมอาหาร
ลดการบริโภคอาหารที่มีไขมันสูง และเพิ่มการบริโภคผัก ผลไม้ และแป้งสูตรที่ดี ควรเลือกใช้ไขมันที่ดีต่อสุขภาพ เช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันมะกอก และน้ำมันปลา
การออกกำลังกาย
ออกกำลังกายเป็นประจำ เช่น เดินเร็ว วิ่ง ว่ายน้ำ เพื่อช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมันและสร้างกล้ามเนื้อ
การลดน้ำหนัก
หากมีน้ำหนักเกินมาก ควรพยายามลดน้ำหนักให้ได้ในระดับที่เหมาะสม เพื่อลดการสะสมไขมันในตับ
การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดื่มสุรา
หากคุณดื่มสุรามากเกินไป ควรพยายามลดปริมาณการดื่ม หรือหยุดดื่มเป็นระยะเวลาหนึ่ง เพื่อลดการสะสมไขมันในตับ
การรับประทานยา
หากได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นไขมันพอกตับ เพื่อรักษาและควบคุมอาการ แพทย์อาจสั่งให้รับประทานยาที่เป็นประโยชน์ต่อการลดไขมันในตับและป้องกันการเจ็บป่วยเพิ่มเติม
การติดตามและเข้ารับการรักษา
สำคัญที่สุดคือการติดตามและเข้ารับการรักษาจากแพทย์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ได้รับคำแนะนำในการรักษาและรับประทานยาในปริมาณที่ถูกต้อง รวมถึงตรวจสุขภาพประจำตัวอย่างสม่ำเสมอเพื่อวินิจฉัยและรับคำแนะนำในการรักษา เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงในอนาคต